คืนพระจันทร์เต็มดวงบนห้วงหาว
มะลิขาวบานไสวใกล้บ้านป่า
ซึ่งกำลังชูช่อลออตา
แข่งกับกลิ่นดอกหญ้านานาพันธุ์
บนเนินดินผืนน้อยมีรอยแต้ม
หญ้าปรกแซมเบาบางกีดขวางกั้น
เมื่อราหูเข้าข่มอมพระจันทร์
มะลิขาวดอกนั้นเริ่มสั่นเทา
ยางจากกิ่งรินไหลเมื่อใกล้สาง
แว่วเสียงครางระงมแรงลมเป่า
แมลงหวี่แห่งสังคมผมดอกเลา
กำลังเฝ้าดื่มดอมหลอมดวงไฟ
กับหยาดฝนบางบางระหว่างถ้ำ
เริ่มชุ่มฉ่ำแผ่นพื้นการลื่นไหล
ในความหนาวเกี่ยวกระชับอย่างจับใจ
ความเคลื่อนไหวลึกซึ้งส่งถึงกัน
สว่างโรจน์โชติช่วงในห้วงนึก
วัดความลึกเคลื่อนไหวดวงใจสั่น
ปรารถนาเดินเรียบและเฉียบพลัน
ไฟสวรรค์แผดเผาในเตาทิพย์
อย่างอ่อนโยนคุกคามตามสภาพ
และเอิบอาบรสลิ้นกินดื่มจิบ
อัตราเร่งแห่งหัวใจไหวระยิบ
ล่องลอยลิบเลือนลางอย่างซาบซึ้ง
เกือบจะถึงจุดหมายอยู่หลายครั้ง
การหยุดยั้งรอไว้การไปถึง
โดยพร้อมเพรียงกับเวลาอันตราตรึง
ในที่ซึ่งเป้าหมายสุดสายธาร
แล้วบทเพลงจากสวรรค์ก็พลันจบ
สุขสงบเงียบงันจุดบรรสาน
การรอคอยดวงไฟในดวงมาน
ช่างเนิ่นนานที่สุด คนจุดไฟ.......
มะลิขาวดอกหนึ่งซึ่งไร้กลิ่น
เริ่มโบยบินจากก้านสู่บ้านใหม่
การเดินทางต่างถิ่นแผ่นดินไกล
สู่กลิ่นไออาภาและอาภรณ์
เงาลางลางสถานที่อันลี้ลับ
ความย่อยยับโหดเหี้ยมถูกเสี้ยมสอน
เป็นมะลิร้อยมาลัยดับไฟร้อน
ในสังคมสำส่อนอย่างเสรี
ด้วยราคาแพงมากจากบ้านป่า
ค่อยลดลงด้วยราคาค่อนข้างถี่
กลีบเริ่มด้านก้านเริ่มดำคร่ำราตรี
อยู่ที่นี่หรือที่ไหนไม่สำคัญ
มะลิยังเดินทางไปข้างหน้า
ในอัตราร้อนแรงแฝงรอยฝัน
ยิ้มสดใสโหยหาใต้ตาวัน
เพื่ออะไร...เพื่อใครกัน...วันยาวนาน...........
การเดินทางช่วงสุดท้ายในสายหมอก
ทุกระลอกลมหายใจวาบไหวหวาน
คลับคล้ายเป็นภาพฝันเมื่อวันวาน
มองเห็นบ้านแต่ไกลในสายตา
กลีบดอกนิ่มริมทางบางระยับ
ยิ้มต้อนรับการเยือนเพื่อนร่วมป่า
"....เอ็งทุกข์สุขอย่างไรไปใหนมา
ไม่เห็นหน้านึกหวั่นอันตราย...."
"ข้าเดินทางไปที่โน่นโพ้นขอบฟ้า
ไร้ต้นไม้ใบหญ้าข้าเหนื่อยหน่าย
ป่าคอนกรีตสับสนคนมากมาย
ข้าถูกขายเป็นสินค้าในป่าคน"
"เอ็งช่างเก่งช่างกล้าสารพัด
อยู่ป่าชัฏรับรองไม่หมองหม่น
ฟังเขาว่าคนที่นั่น (ปัญญาชน)
พวกข้าบ่นถึงเอ็งไม่เว้นวัน"
".......ข้ากลับมาวันนี้สู่ที่พัก
ด้วยความรักแผ่นดินถิ่นสุขสันต์
ความหลังข้าหากมีบ้าง ช่างหัวมัน
ข้าจะเป็น (ดวงจันทร์) แต่วันนี้......."